นิตยสารโอ-ลั้นลา
คอลัมน์ : หนุนตักฟังเรื่องเล่า
น้ำเสาวรสสีเหลืองสวยถูกนำมาเสิร์ฟให้ทีมงานโอ-ลั้นลาที่ไปเยือนถึงบ้าน เมื่อได้ลองชิมพบว่ารสชาตินั้นดีไม่แพ้หน้าตา ทำเอาเจ้าของบ้านยิ้มปลื้ม จากนั้น ป๊อป-อารียา สิริโสดา ก็พาทีมงานเข้าไปทักทายทำความเคารพคุณแม่ปทุมวรรณ ที่กำลังดูรายการละครย้อนหลังผ่านแท็บเล็ตอย่างเพลิดเพลินด้านใน แล้วกลับมาปักหลักที่เก้าอี้รับแขกหน้าบ้านภายใต้ร่มเงาของไม้ใหญ่ มีเสียงนกร้องจิ๊บๆ เป็นซาวนด์ประกอบขณะสนทนากันด้วยเรื่องราวของครอบครัว
การดูแลแม่ที่ป่วยด้วยโรคสมองน้อยฝ่อ (Spinocerebellar Ataxia) ควบคู่ไปกับดูแลสุขภาพใจของตนเอง เพราะเมื่อมีผู้ป่วยอยู่ร่วมชายคาบ้าน ชีวิตสาวรักอิสระที่เคยชินกับการอยู่คนเดียวก็ไม่มีวันเหมือนเดิม
ครอบครัวคือรากแก้ว
ถึงจะเกิดและโตต่างแดน ถือสัญชาติอเมริกันโดยกำเนิด แต่ความทรงจำยามได้กลับมาอยู่กับครอบครัวที่เมืองไทยเป็นครั้งคราวยังคงแจ่มชัด ไม่ว่าจะเป็นภาพบ้านไม้ใต้ถุนสูงของคุณตาคุณยายที่อยุธยาและบ้านคุณปู่คุณย่าที่เป็นโรงเรียนประจำในห้วยยอด จังหวัดตรัง
“แม่กับพ่อพบกันที่ฟิลิปปินส์ แล้วไปเรียนต่อปริญญาโทที่อเมริกา มีเราสองคนพี่น้อง (เป้-ฐิติ) ที่โน่น ได้กลับมาอยู่เมืองไทยตอน 1 ขวบถึง 5 ขวบ ทางบ้านที่อยุธยา คุณตาเป็นทหาร เข้มงวดมาก ถ้ากลางวันไม่อยากนอน บอกอยากดูโดเรมอน จะโดนตี แต่ถ้าไปหาคุณปู่ซึ่งเป็นครูที่ตรัง โอ้โห…สปอยล์หลานสาวคนเดียวมาก วิ่งเล่นรอบสวนยาง จำได้ว่านั่งมอเตอร์ไซค์มีตะกร้าใส่ของอยู่ข้างหน้า ขาห้อยต่องแต่งร่อนไปทั่วตรังเลย จากเด็กผิวขาวผ่องตัวโต มาอยู่เมืองไทยแค่ 5 ปี โหย ตัวดำปิ๊ดปี๋ ขาลาย พุงป่อง แล้วก็ชอบแกล้งอา เอาฟันปลอมไปซ่อน ถ้าอยู่ที่บ้านปู่จนโตนี่มั่นใจว่าเราต้องกลายเป็นเด็กเวรแน่นอนเลย (ยิ้ม)"
“คนที่เรารักมากที่สุดคือคุณย่า เป็นผู้หญิงเก่ง ฉลาดเขียนภาษาจีนได้ คุณปู่เป็นคนคิดทำโรงเรียน คุณย่าเป็นคนทำอาหาร ดูแลอยู่เบื้องหลัง ต้นแบบเรื่องเฮลตี้ของเรามาจากคุณย่านี่แหละ เป็นคนแรกที่ทำให้เรารู้เรื่องโยคะ เราเห็นคุณย่ายืดตัวทุกเช้า คุณย่าบอกกล้ามเนื้อส่วนไหนถ้าไม่ใช้มันจะค่อยๆ หดหายไปนะลูก“
แม้เมื่อครอบครัวเล็กๆ นี้ย้ายไปลงหลักปักฐานต่างแดน รัฐมิชิแกน สหรัฐอเมริกา ในเวลานั้นจะมีคนไทยไม่ถึงร้อยครอบครัว แต่การเลี้ยงดูลูกสาวให้มีความเป็นไทยก็เข้มข้น
“เรารู้สึกว่าเราไม่เคยเป็นอเมริกันเลย เพราะบ้านแม่พาไปไหว้พระทุกเดือน นั่งสมาธิ เดินจงกรมตั้งแต่ 8-9 ขวบเพราะกลัวเราจะเป็นฝรั่งมากไป จนบางทีเราก็เถียง... ไม่ใช่ฝรั่ง หนูเป็นมะม่วง (หัวเราะ) แม่เป็นผู้หญิงเก่ง เป็นวิศวกรตรวจสอบคุณภาพรถยนต์ของบริษัท GM (General Motors Company) เป็นคนเนี้ยบ เป๊ะ ส่วนพ่อนี่คนละขั้ว หยินหยางมากเป็นคนหล่าล้า (ช้า) ชิลสุดๆ เป็นฮิปปี้เลยค่ะ เรายังคิดว่าเขามาแต่งงานกันได้ยังไง น่าจะเพราะพ่อทำอาหารอร่อย (ยิ้ม) เราก็เลยเติบโตมาในครอบครัวที่ผู้หญิงทำงานนอกบ้าน ผู้ชายทำงานบ้าน (หัวเราะ) ดูดฝุ่นทำอาหาร แล้วก็ทำการบ้านกับลูก ซึ่งทั้งสองคนเก่งนะในการดูแลเรา”
พ่อแม่สอนให้เก็บเงินเป็น ทำงานบ้านเอง แม่มีค่าขนมให้อาทิตย์ละ 5 เหรียญต่ออาทิตย์ ช่วงซัมเมอร์ไปขายแฮมเบอร์เกอร์ ทอดไส้กรอก ได้ 2.5เหรียญต่อชั่วโมง อยากซื้ออะไรก็เก็บเงินส่วนตัว กว่าจะได้ไม้เทนนิสมาต้องคอยสองเทอมทำให้เธอเห็นคุณค่าของเงิน ไม่ฟุ่มเฟือย
“ครอบครัวเป็นรากแก้วของเรา เพราะถ้ารากไม่ดีต้นไม้ไม่เติบโตหรอกค่ะ เรื่องการศึกษา เรื่องการมีครอบครัว การรู้จักประหยัด ดูแลตัวเองเป็น มีความรับผิดชอบ มีการมีงานทำ ทุกอย่างมาจากครอบครัวจริงๆ ถ้าไม่มีหลักตรงนี้ ชีวิตป๊อปก็ไม่มีทางจะดีได้"
“แม่เป็นคนดูคนขาด การสังเกตคนนี่แม่เก่งมากใครมาจีบแต่ละคนแม่ดูขาด เราไม่ได้เสี้ยวหนึ่งของแม่ตรงนี้เลย ตอนเข้าประกวดโมเดลลิ่งให้เราเซ็นสัญญาฉบับหนึ่ง บอกเราว่าหัก 30% จากเงินรางวัล ตอนนั้นอ่านภาษาไทยไม่ได้คล่องมาก ก็เซ็นไป แม่บินมาดูตอนประกวด เห็นสัญญา จริงๆ เขียนว่าหักทุกอย่างในการทำงานหลังจากประกวดนางสาวไทยเป็นเวลาอีก 5 ปี เชื่อไหมว่าวันประกวด แม่เกือบดึงเราออกจากเวทีแล้วนะ แม่บอกคนนั้นว่าถ้าเธอไม่ฉีกสัญญา ฉันเอาลูกกลับอเมริกาเดี๋ยวนี้เลย ลูกฉันไว้ใจคุณ แล้วคุณทำอย่างนี้กับเด็กทำไม แม่เฉียบ เด็ดขาด และละเอียดมาก ถ้าไม่มีแม่ คงออกจากวงการมานานแล้ว หรืออาจไม่ได้เข้าวงการแต่แรกก็ได้”
ชีวิตที่ไม่ต้องเจอโรงพยาบาลคือเป้าหมายใหม่ของชีวิต
ด้วยความที่ได้เห็นการเจ็บป่วยอย่างหนักของหลายคนในครอบครัวมาตลอด ตั้งแต่คุณปู่ที่เป็นเบาหวานคุณตาเป็นอัลไซเมอร์ คุณยายเป็นมะเร็งลำไส้ ต้องถ่ายของเสียทางหน้าท้อง คุณย่าเป็นมะเร็งปอด จนมาถึงคุณแม่ที่ป่วยด้วยโรคที่วันนี้ก็ยังหาสาเหตุไม่เจอ ความมุ่งมั่นในเรื่องการรักษาสุขภาพให้แข็งแรงจึงยิ่งทวีคูณถึงขนาดตั้งเป้าหมายชีวิตว่าจะไม่ยอมเข้าโรงพยาบาลเป็นอันขาด
“ปู่เป็นเบาหวานถึงขั้นโดนตัดแขนตัดขา แล้วเราเป็นหลานรักของปู่ ตอน 10 กว่าขวบไปทิ้งโถฉี่โถอึ เห็นหนองจากแผลที่ไม่ยอมหายเพราะน้ำตาล ทำให้เรากลัวน้ำตาลมากถึงมากที่สุด ทุกคนคิดว่าเราไม่กินน้ำตาลเพราะกลัวอ้วน ไม่ใช่ ฉันกลัวเบาหวาน (หัวเราะ)
“ส่วนคุณย่าเป็นมะเร็งปอดทั้งที่ไม่เคยสูบบุหรี่เลย ตอนที่เริ่มเป็นอายุ 78 หมอให้เวลา 6 เดือน เราบอกไม่อยากให้ทำคีโม คุณย่าเชื่อหมอจีน ก็ส่งพ่อไปเยาวราช ไปซื้อสมุนไพรจีนมาต้มกิน สรุปคุณย่าอยู่มาได้ถึงอายุ 87 เป็น 10 ปี ไม่ใช่ 6 เดือน”
“พอได้เห็นคนในครอบครัวป่วยหลายโรคหนักๆ ทำให้เราตั้งใจไว้เลยว่าเป้าหมายชีวิตนี้ฉันขอไม่เข้าโรงพยาบาล ขอไม่กินยา ขอไม่เจอหมอ จะดูแลตัวเอง ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเป้าหมายในชีวิตอันใหม่นี้ ตั้งแต่เล่นโยคะมา ภูมิแพ้หาย ไม่เคยเป็นไข้มา 10 ปี เราเชื่อเรื่องการปฏิบัติโดยธรรมชาติดีที่สุด
“ส่วนนักเรียนโยคะที่มาฝึกกับเราก็เหมือนมารักษาตัว เท่ากับเรากำลังทำบุญ ไม่มีอะไรเจ๋งเท่าการที่เราได้ทำสิ่งที่เราชอบและสิ่งนั้นให้ประโยชน์กับคนอื่นด้วย เราสอนโยคะที่บ้านเพราะไม่อยากให้แม่เหงา แม่จะยิ้มเวลามีคนที่บ้าน ได้คุย ได้โม้ แล้วเขาก็ช่วยเราดูแลแม่ด้วย มานั่งคุยกับแม่ บางทีแม่ดูรายการ ‘ครัวคุณต๋อย’ จบ แม่อยากกิน...ปลาร้าทรงเครื่อง ถามในกลุ่มมีใครทำได้บ้าง ขอสั่งทำได้ไหม...ไม่เป็นไรค่ะครู เดี๋ยวหนูทำให้จะมีอะไรดีเท่าคอมมิวนิตี้แบบนี้อีกไหม ไม่มีอะไรที่จะอิ่มใจขนาดนี้แล้วนะ”
'กตัญญู' กับ 'ธรรมะ'
“พ่อแม่ดูแลลูกเพื่อให้ลูกเติบโต ติดปีกแล้วบินออกไป แต่การดูแลพ่อแม่คือการดูแลไปจนถึงวันที่สิ้นลม มีเรื่องธรรมะที่ได้เอามาใช้มาก ทุกคนต้องมี 5 ขั้นตอนในการยอมรับการเปลี่ยนแปลงชีวิต ขั้นแรกเลยเราจะโกรธ ไม่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ขั้นที่สองคือต่อรอง ถ้าฉันทำดีๆ อาจจะดีขึ้น ถ้าต่อรองไม่ได้ อันที่สามนี่สำคัญมากจะซึมเศร้าท้อแท้ ถ้าถึงจุดนั้นจะมีทางเลือกว่าจะสู้ต่อหรือถอยหลัง ไปหาเหล้าดื่มเมาปลิ้น ติดยา ปล่อยเซอร์ แต่ถ้ารู้ตัวว่าท้อแล้วสามารถเข้าสู่ขั้นที่สี่ คือมองเห็นความจริงแล้วก็ยอมรับให้ได้ และขั้นที่ห้า แผ่เมตตา แปลว่าเราเข้าใจและยอมรับได้จริงๆ แล้วละ
“แต่กว่าจะมาถึงขั้นตอนสุดท้ายนี่มันต้องผ่านจุดตกเหวสุดๆ ก่อน บางช่วงต้องทำเองทุกอย่าง ไม่มีเด็กช่วย บางครั้งแม่เกิดอึแตก สอนโยคะอยู่ด้านนอก ต้องหยุดคลาสเพื่อเช็ดทำความสะอาดตัวให้แม่ เอากระโปรงแม่ไปซัก ทำไปก็ร้องไห้ไปด้วยความเครียดจัดทำไมต้องเป็นฉัน ฮือๆๆๆ นั่งน้ำตาไหล ท้อมาก”
“บอกตรงๆ ว่าเราเติบโตขึ้นมากตั้งแต่แม่กลับมาอยู่ด้วย การที่แม่ป่วยสอนให้เราเข้าใจชีวิตมากขึ้น เห็นค่าของชีวิต เห็นค่าของเวลา เราไม่อยากจะรู้สึกเสียดายว่าทะเลาะกับแม่คืนนี้ แล้ววันพรุ่งนี้ไม่เจอกันอีกแล้ว ทำทุกวันให้มีความสุข มีเสียงหัวเราะ"
“การดูแลผู้สูงอายุไม่ง่ายค่ะ โดยเฉพาะเป็นแม่ของเราเอง คนที่ทำได้ต้องมีทั้งบุญ มีทั้งจิตที่เข้มแข็ง ต้องพยายามอโหสิกรรมทุกวัน เหมือนเราจำเป็นต้องถ่ายให้ออกทุกวันด้วยวิธีการออกกำลังกาย ต้องหาเวลาไปวิ่ง ไปตีเทนนิส ไปเล่นโยคะ ทำกิจกรรมที่ให้เราได้ถ่ายสมองเต็มที่ เมื่อได้ระบาย ไม่มีอะไรค้างอยู่ในสมองเมื่อไม่เครียดมีปัญหาอะไรก็แก้ได้"
“ตอนนี้แฮปปี้กับสิ่งที่เราได้มา แต่อนาคตก็ยังไม่รู้อะไรจะเกิดขึ้น ไม่มีอะไรที่แน่นอนมั่นคงไปตลอดหรอก ชีวิตที่ไม่มีปัญหาคือไม่มีชีวิต แต่ทุกคนต้องมีการบาลานซ์และหาสมดุลในตัวเองให้เจอ”