นิตยสาร O-lunla
คอลัมน์ Share & Care
“ทุกข์เรื่องอื่นๆ ในชีวิต พอมาเจอเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องเล็กไปเลย ลาภ ยศ สรรเสริญอะไรไม่เคยคิดอีกเลย
ขอแค่ให้แม่กลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติอีกครั้งก็มีความสุขที่สุดแล้ว”
ปิยะธิดา ฉัตรเนตร สาวออฟฟิศที่เคยใช้ชีวิตสนุกสนานกับเพื่อนฝูงและมุ่งมั่นกับการทำงาน ไม่คาดคิดมาก่อนว่าวันหนึ่งเธอจะต้องกลายมาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักในการดูแลครอบครัว เล่าถึงวันที่เป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตให้เราฟัง
คนดูแลแม่… ต้องเป็นคนที่ดีที่สุด
แม่เป็นผู้หญิงตัวใหญ่ น้ำหนัก 101 กิโลกรัม วันที่ท่านล้มป่วยเป็นวันที่ท่านไปเฝ้าไข้คุณยายที่โรงพยาบาล คุณยายท่านป่วยหลายโรค อาจจะด้วยความเครียดและเพลียทำให้แม่หมดสติตอนที่เดินไปรับยาให้คุณยาย
ตอนแรกหมอวินิจฉัยว่าเส้นเลือดในสมองตีบ จึงรักษาด้วยการฉีดยาสลายลิ่มเลือด แต่ปรากฏว่าแม่เป็นคนเลือดออกง่าย ทำให้เส้นเลือดในสมองแตก คุณหมอต้องผ่าตัดเอาน้ำในสมองออก
ตอนนั้นคุณหมอให้ทำใจ เพราะไม่ทราบว่าหลังจากเอาน้ำออกแล้ว คุณแม่จะมีอาการอย่างไร โชคดีที่ตอนนั้นใช้สิทธิ 30 บาท ในการผ่าตัดรักษา ไม่อย่างนั้นคงมีค่าใช้จ่ายมากมาย
หลังการผ่าตัด
ช่วงแรกแม่นอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล อาการของท่านค่อยๆ ดีขึ้น จนกระทั่งเริ่มพูดได้ นิ้วเริ่มขยับได้ เรื่องใหญ่หลังจากนี้คือการรับแม่มาดูแลต่อที่บ้าน
ตอนแรกที่แม่ป่วย ฉันคิดถึงขั้นลาออกมาดูแลท่านด้วยตัวเอง แต่คิดไปคิดมา ถ้าเราลาออกจากงานมาดูแลแม่ แล้วใครจะหาเงินมาดูแลท่าน (ค่าใช้จ่ายในการดูแลแม่ราว 60,000 บาทต่อเดือน เป็นค่าอาหาร ค่าคนดูแล ค่าทำกายภาพบำบัดสัปดาห์ละ 3 วัน ค่าอุปกรณ์ต่างๆ)
พ่อก็อายุมากแล้ว น้องสาวก็แต่งงานมีครอบครัวไปแล้ว ตอนที่จะพาแม่กลับบ้านก็ปรึกษาป้า ท่านเสนอว่าจะช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายบางส่วน และแนะนำให้จ้างแรงงานต่างด้าวมาดูแลแม่เพื่อค่ารักษาจะได้ถูกลง
แต่เราไม่เห็นด้วยเพราะอยากได้คนที่ดีที่สุด รู้งาน มีประสบการณ์มาดูแลท่าน เพราะแม่ต้องให้อาหารทางสายยาง ต้องดูแลเรื่องความสะอาดเนื้อตัว การขับถ่าย และอื่นๆ อีกมากมาย
เมื่อตัดสินใจรับแม่กลับมา เราต้องเตรียมบ้านให้พร้อม ไปขอเตียงมาจากสังคมสงเคราะห์ ซื้อเตียงลม ติดฉากกั้นห้องเพื่อติดแอร์ชั้นล่างสำหรับเป็นห้องพักของแม่ โชคดีที่มีเพื่อนๆ ช่วยเหลือทำสิ่งต่างๆ ให้เท่าที่จะช่วยได้ ทำให้เรามีกำลังใจขึ้นมาก
ปิยะธิดา ฉัตรเนตร (คนซ้าย)
เมื่อแน่ใจว่าต้องการคนดูแลแม่จากทางศูนย์ที่มีประสบการณ์ เราก็คัดเลือกด้วยตัวเอง
คนแรกมาได้แค่สองวันก็ลาออกไป ส่วนคนที่สองซึ่งเป็นคนที่ดูแลแม่ปัจจุบันก็อึ้งที่เห็นว่าแม่เป็นคนป่วยที่พูดได้ เขาบอกว่าส่วนใหญ่ดูแลคนป่วยที่พูดไม่ได้ ขยับตัวไม่ได้ ซึ่งนั่นหมายความว่าเขาไม่ต้องเผชิญกับการจู้จี้จุกจิก
คนดูแลอยู่กับเรา กินและนอนพักที่บ้าน 6 วัน ส่วนวันอาทิตย์เป็นวันหยุด การได้คนดูแลผู้ป่วยที่ดีเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากรู้หน้าที่แล้ว เขายังเข้าอกเข้าใจคนในครอบครัว ใส่ใจในรายละเอียด ช่วยเราประหยัดเงินในการดูแล
เช่น สำลีเช็ดก้นจะไม่ขยุ้มมาทั้งก้อน แต่จะค่อยๆ ลอกออกมาเป็นแผ่นเท่าฝ่ามือ ชุบน้ำ แล้วเช็ดก้นให้แม่ ทำให้ไม่เปลือง หรือเทคนิคการพลิกตัวของแม่ซึ่งน้ำหนักเยอะมาก ก็ใช้ผ้าช่วยในการพลิก ทำให้ไม่ต้องออกแรงเยอะ สิ่งต่างๆ เหล่านี้เราก็ค่อยๆ เรียนรู้จากเขา
นอกจากนี้ เขายังมีน้ำใจช่วยเราดูแลคุณยายในตอนกลางคืน เราก็จะช่วยเหลือเขาด้วยเช่นกันเพื่อไม่ให้เขาเหนื่อยเกินไป โดยในบ้านจะมีกล้องวงจรปิดที่เชื่อมกับโทรศัพท์ซึ่งสามารถโทรมาคุยกับเขาได้ทันทีหากเกิดอะไรขึ้น
ครั้งหนึ่งแม่เคยพูดว่า “ไม่คิดว่าเราจะดูแลเอาใจใส่ท่านดีขนาดนี้ เพราะปกติดูไม่ค่อยใส่ใจอะไร” ความจริงแล้ว เรื่องไหนถ้าสำคัญ เราจะจริงจังและทำเต็มที่
สำหรับเรื่องแม่ เราอยากดูแลท่านให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง
ขอบคุณคนดูแลที่ไม่ทำให้เราทุกข์หรือกังวลเมื่อออกไปทำงานในทุกๆ วัน และขอเป็นกำลังใจให้ครอบครัวที่ต้องดูแลผู้ป่วยทุกท่านนะคะ หากจำเป็นต้องมีผู้ช่วย ขอให้พิถีพิถันในการเลือก เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ป่วยค่ะ