นิตยสาร O-lunla
คอลัมน์ Share & Care
ครอบครัวของคุณเอ-หงส์รฎา อาศัยอยู่ที่จังหวัดกาฬสินธุ์ ถิ่นผ้างาม ช่วงใกล้เรียนจบมหาวิทยาลัย คุณเอมีอาการป่วยจากความเครียดจนทำให้ร่างกายผิดปกติ ทำให้เป็นลมล้มพับไปง่ายๆ
เมื่อมีลูกก็เป็นถุงน้ำขนาดใหญ่ที่คอจนแทบไม่มีหมอที่ไหนกล้าผ่าตัดให้ แต่โชคดีที่ได้เจอคุณหมอใจดี เห็นอาการของเอโดยบังเอิญแล้วเมตตาผ่าตัดให้ จนทุกวันนี้หายเป็นปกติดี
ก่อนเรียนจบ เอขอพ่อแม่นำที่ดิน 6 ไร่ 3 งานมาปลูกผักทำสวนทำนา ทำเกษตรอินทรีย์เพราะอยากเดินตามรอยเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9
ตอนนั้นเอไม่รู้เลยว่าพืชผักในสวนแห่งนี้จะทำประโยชน์ให้ใครได้มากขนาดไหน จนวันที่เอป่วย พ่อป่วย คนในหมู่บ้านป่วย จึงได้เห็นว่าสิ่งที่เอทำช่วยชีวิตคนอื่นได้
ช่วงแรกพ่อในวัย 60 กว่าปีมีอาการเพลีย ไอ และเป็นไข้แบบเป็นๆ หายๆ อยู่ร่วมเดือน กว่าจะตรวจพบว่าพ่อเป็นอะไร ปอดทั้งสองข้างของท่านก็มีจุดกระจายเต็มไปหมด มะเร็งได้ลามไปที่ขั้วปอดแล้ว
แรกที่รู้ว่าพ่อเป็นโรคนี้เราต่างก็ตกใจ แต่คุณหมอที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จังหวัดขอนแก่น ใจดีมาก อธิบายถึงทางเลือกให้เราฟังว่ามีอยู่ด้วยกัน 4 ทาง
ทางแรก ทำคีโม เราไม่อยากเลือกทางนี้
ทางที่สอง คุณหมอจะส่งชิ้นเนื้อของคุณพ่อไปยังต่างประเทศซึ่งทำงานวิจัยร่วมกันเพื่อดูว่าชิ้นเนื้อนี้สามารถใช้ยาจากโครงการวิจัยนี้ได้หรือไม่ แต่สุดท้ายก็ไม่ผ่าน
ทางที่สาม คุณหมอแนะนำให้ดูแลคุณพ่อแบบประคับประคอง หากเป็นไข้ เจ็บปวด ไอ ก็รักษาตามอาการ
และ ทางที่สี่ ใช้ยารักษามะเร็งแบบมุ่งเป้า ซึ่งเป็นยาที่ตอบโต้มะเร็งเฉพาะจุดได้ดี คุมก้อนมะเร็งไม่ให้กระจายได้ แต่ค่าใช้จ่ายสูงมาก
เอกับสามีตัดสินใจขายบ้านและคอนโดฯ ที่กรุงเทพฯ นำเงินทั้งหมดมารักษาคุณพ่อ หลายคนอาจมองว่าไม่คุ้มที่จะทำอย่างนี้ แต่สำหรับเอ ทุกเวลานาทีของพ่อมีค่า ถ้าเอตอบแทนพระคุณท่านได้ ก็ไม่มีอะไรที่สำคัญมากกว่านี้อีกแล้ว
เอไม่คิดว่าการรักษาด้วยการกินยารักษามะเร็งแบบมุ่งเป้าวันละ 1 เม็ดเพียงอย่างเดียวจะดีที่สุดสำหรับท่าน
แต่เอเชื่อในพลังธรรมชาติบำบัดมากที่สุดจึงตัดสินใจใช้สองอย่างนี้ในการรักษาท่าน ที่ “บ้านสวนเพียงพอ” บ้านสวนที่เอลงแรงพลิกที่นาแห้งแตกระแหงด้วยตัวเอง
ที่นี่มีทั้งพืชผักสมุนไพรหลากหลายชนิดทั้งผักเผ็ดร้อน ผักรสเย็น ผักสดอย่างมะเขือ แตงกวา คะน้า แตงโม ฯลฯ
นับจากวันที่รู้ว่าป่วย พ่อก็ดูแลสุขภาพของตัวเองอย่างจริงจัง ท่านตื่นตี 5 มาล้างหน้าแปรงฟัน รดน้ำต้นไม้รอบๆ บ้านเสร็จแล้วมาดื่มน้ำผักผลไม้ปั่นที่เอเตรียมไว้ให้
จนราว 6.30 น. ก็จะไปปั่นจักรยานเส้นทางรอบเทือกเขาภูพานไป-กลับ 30 กิโลเมตร แล้วกลับมาอาบน้ำกินข้าวที่เอเตรียมไว้ให้ซึ่งเป็นอาหารอินทรีย์ส่วนใหญ่ จะเป็นผักสดผักลวกจิ้มน้ำพริกปลานึ่ง
นานๆ ทีจะกินหมูหรือไก่ ซึ่งไก่ที่นี่เป็นไก่บ้านที่ชาวบ้านนำมาขาย ช่วงไหนมีไข่มดแดงก็จะยิ่งได้อาหารมื้ออร่อยอย่างแกงผักหวานใส่ไข่มดแดงที่พ่อชอบและได้สารอาหารที่ดี
ช่วง 6 เดือนแรก เอปั่นน้ำฝรั่งกับมะเฟืองให้พ่อกินทั้งน้ำและเนื้อเพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามินซี และช่วยให้เม็ดเลือดขาวแข็งแรง
ช่วง 6 เดือนหลัง ให้กินขิงกับมะขามป้อมปั่น ช่วงหลังมานี้ปั่นผักสมุนไพรในสวนอย่างใบบัวบก ใบย่านาง ผักแพว ใบชะพลู สลับกับปั่นน้ำผักอย่างมะเขือเทศ แตงกวา ฯลฯ
นอกจากนั้นการดูแลอื่นๆ ของพ่อคือการอบสมุนไพรสัปดาห์ละครั้ง ปฏิบัติธรรม ฟังธรรมะ ในแต่ละวันจะมีคนที่เจ็บป่วยแวะเวียนมาที่บ้าน พ่อจะพูดคุยให้กำลังใจ แบ่งปันแนวทางในการดูแลตนเองให้คนอื่น
1 ปีกับ 6 เดือน ที่หมอบอกว่าพ่อป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย แต่ร่างกายและจิตใจของท่านเข้มแข็งมากจนแทบมองไม่ออกว่าเจ็บป่วย
การตรวจล่าสุดจุดที่ปอดลดลง ขนาดของก้อนเนื้อที่ปอดเล็กลง แถมท่านยังทำตัวให้เป็นประโยชน์กับคนอื่น เท่านี้เอคิดว่าไม่มีอะไรให้ต้องเสียดายอีกแล้ว
ในฐานะลูก เอได้ทำเต็มที่ ส่วนพ่อในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ก็ได้ใช้เวลาที่มีอยู่อย่างคุ้มค่ามากที่สุด
ป.ล. การดูแลสุขภาพของผู้ป่วยมะเร็งเป็นเรื่องที่คนทั้งครอบครัวต้องช่วยกันตัดสินใจ เมื่อตัดสินใจแล้วก็เดินหน้าไปด้วยกัน และอยากบอกว่าไม่มีวิธีไหนดีที่สุดสำหรับทุกคน น้ำปั่นผักผลไม้ของบ้านเออาจจะดีสำหรับพ่อเอ แต่อาจไม่เหมาะกับผู้ป่วยคนอื่นก็เป็นได้
สนใจติดตามข่าวสารดี๊ดี แอดไลน์เป็นเพื่อนกัน | (คลิกจากโทรศัพท์มือถือ)