นิตยสารโอ-ลั้นลา
คอลัมน์ : หนุนตักฟังเรื่องเล่า
กฎเหล็กของบ้านวชิรบรรจง
“หลังเที่ยงคืนให้กลับมานอนบ้าน หรือถ้ามีนัดแล้วเกิดเรื่องด่วน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด ครอบครัวต้องมาก่อนเสมอ”
บีบี-เอกนรี วชิรบรรจง ลูกสาวคนโตวัย 26 ปี ของผู้กำกับและผู้จัดละครมากฝีมือ อ๊อฟ-พงษ์พัฒน์ และ แดง-ธัญญา วชิรบรรจง บอกเล่าถึงกฎเหล็ก (ขำๆ) ของที่บ้าน แต่สะท้อนให้เห็นว่า แม้จะถูกส่งไปเรียนไฮสกูลและเติบโตห่างอกพ่อ อกแม่ไกลเพียงใด แต่มุมมองการเลี้ยงดูแบบไทยๆ (และผสานความเป็นลูกผสม) ก็เป็นเข็มทิศที่ลูกสาวคนนี้ยึดมั่นอยู่เสมอ
หลังจบปริญญาตรีที่เมลเบิร์น ออสเตรเลีย บีบีกลับมาทำงานในบริษัท แอค-อาร์ต เจเนเรชั่น จำกัด ของครอบครัว ประเดิมงานแรกด้วยการเป็น “เด็กฝึกงาน” ที่ทำทุกตำแหน่งในกองถ่ายละครกรงกรรม เรียนรู้งานด้านการผลิตกับโปรดิวเซอร์ละครเรื่องลายกินรี และผลงานเรื่องล่าสุดที่เพิ่งลาจอไป "มนต์รักหนองผักกะแยง" ฟาดเรทติ้ง 6.72 ใน EP.12 ซึ่งเป็นตอนจบ
เธอบอกว่า ที่บ้านชอบให้ออกไปเรียนรู้เอง ทดลองเอง เจ็บเอง เพราะนี่คือการสอนจากพ่อและแม่ และเป็นภูมิคุ้มกันชีวิตที่ดีที่สุด
คุณถูกเลี้ยงดูและเติบโตมาอย่างไร
ที่บ้านเลี้ยงมาแบบครอบครัวใหญ่ คุณแม่เลี้ยงแบบเป็นเพื่อน มีอะไรก็ปรึกษากัน ไม่โกหกกัน บีโตมากับครอบครัวของพี่ชายคุณแม่ด้วย มีลูกพี่ลูกน้องที่โตมาด้วยกัน เป็นเหมือนเพื่อน อายุไล่เลี่ยกัน มีอยู่ 5 คนมีบี น้องชาย (ไรเฟิล-ภูรีพงษ์ วชิรบรรจง) ยังมีลูกพี่ลูกน้องอีก 3 คน ตอนเด็กๆ เราจะกลับบ้านคุณยายที่กาญจนบุรีช่วงเสาร์-อาทิตย์บ่อยๆ ไปวิ่งเล่น เตะบอล ปั่นจักรยานทั่วเมืองกันเป็นแก๊ง เพราะโตมากับญาติผู้ชาย เราเลยแมนๆ ทะมัดทะแมงเหมือนเด็กต่างจังหวัด แต่อันนั้นเป็นแค่ลุคภายนอก จริงๆ เป็นคนหวานนะ (ยิ้ม)
ภาพจำตอนเด็กคือ ชีวิตเราเติบโตในกองถ่าย เราอยู่กับคนหมู่มากตั้งแต่เด็ก ดังนั้นต้องปรับตัว บางทีคุณพ่อคุณแม่ถ่ายงานดึก เราก็ต้องอยู่ตรงนั้นให้ได้นอนตรงฝ่ายเสื้อผ้า กินข้าวในกองถ่าย และรู้สึกว่าต้องอยู่ให้ได้ทุกเวลาด้วย การโตมาในกองถ่ายมันทำให้รู้ว่าเราชอบอยู่หลังกล้อง แต่ถ้ามีงานหน้ากล้องที่น่าสนใจก็อยากลอง เพราะเราเป็นคนที่เปิดโอกาสให้กับทุกอย่างในชีวิต คุณแม่สอนให้ลองเรียนรู้และเปิดกว้าง
คุณพ่อคุณแม่มีส่วนสนับสนุนความชอบของเราอย่างไรบ้าง
ก่อนไปเรียนเมืองนอก เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองชอบอะไร แต่คุณแม่จะเป็นคนสังเกตและรู้ว่าเราชอบเล่นกล้อง ชอบวาดรูป เลยส่งไปเรียนวาดรูปตั้งแต่เด็ก พอโตมาก็เริ่มรู้จักกล้อง เวลาเราถ่ายรูปมุมต่างๆ คุณแม่เคยพูดว่า “บีก็มีมุมมองของเขานะ…”
หลังจบ ม.3 จากโรงเรียนราชินีบน ก็ไปเรียน ม.4 ไฮสกูลที่ออสเตรเลีย ช่วงหนึ่งปิดเทอมกลับมาและเป็นช่วงที่ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองชอบอะไร คุณแม่ก็เซอร์ไพรส์ด้วยห้องนอนส่วนตัว
เมื่อก่อนเรานอนห้องเดียวกันอย่างอบอุ่นกับคุณพ่อคุณแม่ตลอด ไม่มีห้องส่วนตัว จนกระทั่งกลับมาพบว่าคุณแม่จัดห้องให้ และในห้องนั้นก็เต็มไปด้วยรูปที่เราเคยถ่ายเอาไว้ตอนเด็กๆ ท่านก็นำไปอัดภาพแล้วใส่กรอบให้ เราถามคุณแม่ว่าทำไมถึงทำให้คุณแม่ตอบวา่ “มันสวยดีสำหรับแม่” คุณแม่เป็นผู้หญิงไม่ค่อยพูด ไม่ใช่คนหวานๆ แต่ถ้าท่านทำอะไร ท่านจะทำเลย ซึ่งเราจำโมเมนต์นี้ได้ ทำให้รู้สึกว่าแม้ไม่พูด แต่ท่านสังเกตและมองเห็นบางอย่างในตัวเราอยู่ และยิ่งเป็นจุดผลักดันให้เราเรียนต่อด้านถ่ายภาพคณะ Fine Art-Photography (The Royal Melbourne Institute of Technology)
การไปเรียนต่อต่างประเทศตั้งแต่เด็ก ครอบครัวมีวิธีดูแลกันและกันอย่างไร
บีกลับเมืองไทยน้อยมาก ปีละครั้ง คิดถึงคุณพ่อคุณแม่มาก แต่ท่านก็มาหาเราบ่อยอยู่แล้ว เขาหาเรื่องเที่ยว (ยิ้ม) แม้จะอยู่ไกลกัน แต่เมื่อใดที่มีปัญหา เราจะสายตรงปรึกษาคุณพ่อคุณแม่ตลอด เราเคยเผชิญความรู้สึกโดดเดี่ยว เป็นเด็กหัวดำคนเดียว แล้วเพื่อนในห้องก็ติสต์มาก จนเรารู้สึกไม่มีคอนเน็กชั่นเลย เข้ากับสังคมเพื่อนฝรั่งไม่ได้ เลยอยากหางานพิเศษทำเพื่อจะได้ออกไปพบสังคมอีกแบบหนึ่งที่ทุกคนตั้งใจและทำงานกันเป็นทีมเวิร์ก เราก็โทรปรึกษาคุณแม่ ขอเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย ตอนแรกคุณแม่กลัวเราจะเหนื่อย แต่สุดท้ายท่านก็ปล่อยให้เราได้เรียนรู้
บางทีเจอปัญหาปรับตัวเข้ากับนิสัยของเพื่อนบางคนไม่ได้ เราก็จะปรึกษาคุณพ่อคุณแม่ ถามว่าทำอย่างนี้เราผิดหรือเปล่า ควรปรับตัวยังไง หรือช่างเขาไปเลย คุณแม่ให้คำตอบโดยไม่ตัดสินว่าเราผิดหรือถูก แต่ให้เราพิจารณาตัวเอง ให้เรามองมุมของตัวเองมากขึ้น คอยถามว่า “แล้วบีไปทำอะไรให้เขาหรือเปล่า ถ้าไม่ ก็ไม่ต้องไปคิดมาก เพราะคนอื่นไม่มีสิทธิ์มาตัดสินชีวิตเรา”
ตอนนั้นเรายังเด็ก อาจแคร์คนอื่นมากเกินไป ทุกอย่างจะโทษตัวเอง แต่เมื่อเราโตขึ้น เข้าใจโลกมากขึ้น ใครที่ไม่พร้อมจะเปิดโอกาสให้ เราก็ถอยห่างออกไป ซึ่งคุณแม่สอนให้เราใช้ประสบการณ์เรียนรู้และเติบโตเอง
สัดส่วนความเป็นพ่ออ๊อฟ แม่แดงในตัวคุณ
คุณแม่จะไม่ค่อยพูด นิสัยเหมือนผู้ชาย เป็น tough woman มากๆ แบบผู้หญิงทำงาน เขาจะไม่พูดว่า “รักเธอนะ” แต่จะทำให้เห็น
ส่วนคุณพ่อจะชอบอ้อน เราเป็นลูกสาวด้วยมั้ง คุณพ่อบอกรักทุกวัน คอยกอดคอยหอม ทุกคนบอกว่าเรานิสัยเหมือนคุณพ่อ ใจดี ขี้เล่น มีความอ่อนน้อม และได้ความเฉียบกับความหนักแน่นในการทำงานมาจากคุณแม่ด้วย เหมือนพอเข้ากองมาจะมีเล่นกับทีมงานบ้าง เรียกพ่อคะ พี่คะบ้าง แต่พอเริ่มทำงานหรือเข้าสู่โหมดจริงจัง เราจะดึงความเป็นคุณแม่ออกมาใช้ จนคนในกองแซวว่านี่มัน “ธัญญาน้อย” ชัดๆ
ทีมงานบอกบีเสมอว่า คุณแม่เป็นคนยุติธรรม ไม่ฟังด้านใดด้านหนึ่ง ท่านจะฟังโดยรวม แล้วตัดสินด้วยตัวเอง นี่คือหลักการบริหารงานกองถ่ายของคุณแม่ ส่วนคุณพ่อ คนในกองบอกว่า ต่อให้เล่นแค่ไหน แต่ถึงเวลา คุณต้องรู้จักหน้าที่ของตนเอง นี่คือการทำงานในแบบของคุณพงษ์พัฒน์
คำสอนของพ่ออ๊อฟ แม่แดงที่อยู่ในใจเสมอ
คุณพ่อคุณแม่สอนไว้เยอะมาก ไม่รู้ว่าจังหวะชีวิตแต่ละช่วงนั้นจะไปโดนคำสอนคำไหน แต่มีคำหนึ่งที่จำขึ้นใจ คุณพ่อเคยบอกว่า “ไม่ว่าจะทำอะไร ให้ทำด้วยความตั้งใจ ภูมิใจ แล้วก็มั่นใจ” คำนี้เขาสอนมานานแล้ว แต่เราเองเพิ่งมาโป๊ะ! และเข้าใจจริงๆ ตอนทำงานแฟชั่น
ตอนนั้นมีผู้ใหญ่ให้โอกาสและชวนไปเดินแบบเยอะ เราก็อยากลอง ตอนแรกเราก็ไม่มั่นใจเพราะไม่ได้ทำงานในวงการนี้มาตั้งแต่เด็ก มันใหม่กับเรามาก และหน้าตาเราก็ไม่ใช่พิมพ์นิยม พอทำงานจริงๆ ก็รู้ว่ามันไม่ง่ายเลย ไม่ใช่แค่เดินออกไปแล้วเดินกลับแบบ one walk เท่านั้น แต่ต้องมี attitude ด้วย เข้าใจ movement ต้องรู้ว่าจะนำเสนออย่างไร ให้คนมองมาที่ชุด คุณพ่อให้กำลังใจว่า ไม่ต้องคิดมาก ให้ตั้งใจ ภูมิใจในตัวเอง แล้วก็ทำมันด้วยความมั่นใจแล้วงานมันจะออกมาดีเอง และคำสอนนี้มันก็ทลายความกังวลของเราออกไป
ตอนนี้สุขภาพคุณพ่อเป็นอย่างไรบ้าง ย้อนไปตอนเหตุการณ์คุณพ่อป่วย ครอบครัวรับมืออย่างไร
คุณพ่อทำงานหนักมาก หลังจากป่วยเส้นเลือดในสมองตีบ (Stroke) ตอนนี้คุณพ่ออาการดีขึ้นและต้องทำกายภาพบำบัดต่อเนื่อง
ช่วงแรกๆ ที่เผชิญเหตุการณ์ เรารับไม่ได้เลย คุณพ่อเปลี่ยนไป เพราะท่านไม่เคยดุเรา เราเกิดคำถามว่า ทำไมพ่อต้องดุ ทำไมพ่อต้องอารมณ์เสียใส่ ทั้งที่เราทำเต็มที่แล้วนะ สุดท้ายเราก็พยายามเรียนรู้ว่าอาการ stroke ที่เขาเป็น ส่งผลต่ออารมณ์โดยตรง ทำให้ mindset เขาเปลี่ยน คือคิดมากขึ้น คิดไปไกลกว่าคนอื่นมาก และอาจมีอารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดได้ง่าย ซึ่งพอทำความเข้าใจกับผลกระทบของโรค ทั้งคุณแม่และ น้องชายก็โอเคขึ้นกับอารมณ์ของคุณพ่อ
สิ่งที่ได้เรียนรู้คือเราต้องให้ความเชื่อมั่นกับคุณพ่อด้วย ช่วงแรกคุณพ่อเองก็รู้สึกดาวน์ที่ตัวเองไม่เหมือนเดิม เราก็พยายามบอกเขาว่า พ่อไม่ได้ผิดนะ มันเป็นอาการของโรค เรารู้ดีว่าคุณพ่อไม่ได้เป็นแบบนั้น เราเองก็ต้องเปิดใจยอมรับและให้กำลังใจคุณพ่อด้วยว่า พ่อเองก็ต้องพยายามจูนกลับมาหาเรา พ่อต้องรู้ตัวเองด้วยว่าอาการอยู่ระดับไหน ต้องเจอกันคนละครึ่งทาง ช่วงหลังๆ เขาก็เข้าใจคนรอบข้างมากขึ้น อารมณ์เบาลง
เหตุการณ์นี้ทำให้ครอบครัวหันมาปรับตัวเรื่องการดูแลสุขภาพอย่างไรบ้าง
บีกับน้องชายเป็นคนดูแลสุขภาพ อาหารการกินและเล่นกีฬาอยู่แล้ว น้องชายเป็นนักกีฬารักบี้ทีมชาติไทย เมื่อก่อนส่วนใหญ่คุณพ่อกินอาหารตามกองถ่าย ทำให้กินได้ไม่หลากหลาย หลังๆ คุณแม่หันมาเตรียมอาหารไปจากที่บ้านเอง เน้นอาหารสุขภาพ เป็นปลานึ่งบ้าง
ส่วนเรื่องตารางชีวิตก็ต้องปรับ เพราะคุณพ่อมีสุขภาพที่ต้องรักษา ต้องให้คุณพ่อตื่นเช้ามากินข้าวเช้า ทำกายภาพ ช่วงแรกบีกับน้องก็จะเป็นคนขับรถส่งคุณพ่อไปโรงพยาบาล แต่เนื่องจากบ้านไกล เราไม่อยากให้เขาเดินทางเหนื่อย เลยให้นักกายภาพมาที่บ้านแทน ส่วนคุณแม่จากที่แกร่งอยู่แล้วก็แกร่งยิ่งขึ้น เพราะต้องดูแลทั้งทางบ้านแล้วก็งานด้วย เหมือนต้องเป็นหัวคิดให้คุณพ่อในระดับหนึ่ง
คุณพ่อเองจากเมื่อก่อนตารางชีวิตแน่น มีงานคอนเสิร์ตด้วย ตอนนี้ก็เปลี่ยนไปโรงพยาบาลแทน แต่ท่านพิสูจน์ให้เราเห็นว่าท่านแกร่งมาก ท่านพร้อมที่จะปรับตัวเองไม่ให้ไปกระทบกับคนอื่น ท่านฮึดสู้ เพื่อที่จะใช้ชีวิตและทำงานปกติให้ได้มากที่สุด เพราะท่านไม่อยากให้คนอื่นลำบาก
ถ้ามีผู้อ่านเชิญสถานการณ์เช่นเดียวกับคุณ คุณจะแนะนำว่า...
สุขภาพใจมาก่อนเลย คือมันเป็นการเยียวยาทุกอย่าง สุขภาพใจทั้งของผู้ดูแลและผู้ป่วย เพราะคนดูแลก็ต้องมีชีวิตที่ต้องออกไปเจอโลกภายนอก และถ้าผู้ป่วยอารมณ์ดี ทุกอย่างก็ดี ถ้าคุณให้ใจกันและกัน สุขภาพจิตดี ทุกอย่างก็จะออกมาดี เพราะกำลังใจของครอบครัวคือยาที่ดีที่สุด
แง่มุมการครองเรือนในแบบอ๊อฟ-พงษ์พัฒน์ และแดง-ธัญญา วชิรบรรจง
หลานถามย่าว่า “คุณย่าคะ คุณปู่มีข้อเสียอะไรบ้าง” ย่าตอบว่า “มีเยอะแยะนับไม่ถ้วนเหมือนดาวบนท้องฟ้า”
หลานถามอีกว่า “แล้วคุณปู่มีข้อดีบ้างไหมคะ”
ย่าตอบว่า “มีน้อยเหมือนจำนวนดวงอาทิตย์”
หลานถามต่อไปว่า “แล้วทำไมคุณปู่คุณย่าถึงได้อยู่กันมา
ยาวนานถึงทุกวันนี้ได้คะ”
ย่ายิ้ม แล้วตอบว่า “เพราะว่าเมื่อเวลาดวงอาทิตย์ขึ้น
ย่าก็ไม่เห็นดวงดาวเลยสักดวง”
(ที่มา Instagram : Thanya.wachi)