นิตยสารโอ-ลั้นลา : ฉบับเดือนพฤษภาคม 2560
Column : หนุนตักฟังเรื่องเล่า
ระหว่างการสนทนากับ คุณท็อป-ดารณีนุช ปสุตนาวิน คั่นด้วยเสียงหัวเราะเป็นระยะ ไม่ใช่เพราะว่าชีวิตของเธอเต็มไปด้วยความสุข แต่เพราะมุมมองที่มีต่อชีวิตต่างหากที่ทำให้ “ยิ้มได้” กับทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามา
เมื่อจบบทสนทนา ช่างภาพโอ-ลั้นลาเดินหามุมถ่ายภาพ ดาราดังที่ทุกคนรู้จักคว้ากระเป๋ากล้องมาช่วยถือ
“ต้องช่วยนางหน่อย เดี๋ยวหลังจะเดี้ยง แบกของหนักๆ ต้องดูแลเรื่องสุขภาพนะ” ถ้อยคำที่ฉาบด้วยอารมณ์ขันแฝงเนื้อแท้ของความมีน้ำใจไมตรีแม้กับคนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักกัน
หลายบรรทัดจากนี้เป็นเรื่องราวของเธอ อดีตเด็กแก่น เซี้ยว เปรี้ยว ซ่าประจำโรงเรียนการเลี้ยงดูครอบครัวที่หล่อหลอมความเป็นท็อป-ดารณีนุชในทุกวันนี้
พ่อแม่เป็นคนหัวสมัยใหม่สำหรับคนสมัยก่อน คุณพ่อเรียนเมืองนอก คุณแม่ทำงานกับฝรั่ง เขาพบรักกันที่โรงเรียนอินเตอร์ ISB (International School Bangkok) คุณพ่อเป็นครู คุณแม่ทำงานธุรการและบัญชี วิธีการสอน การเลี้ยงเลยค่อนข้างจะแฟร์ๆ เปิดเผยชัดเจน สิ่งนี้อาจหล่อหลอมความเป็นตัวตนเรา
แม่เป็นคนมีระเบียบวินัย นางเป็นคนที่ทำอะไรต้องมีแบบแผน ขั้นตอนทุกอย่าง แม่สอนเราว่า ทำอะไรก็ตาม ต้องไม่เดือดร้อนคนอื่น อย่าเป็นหนี้ใคร ในชีวิตมีหนี้ต้องล้างหนี้ออกให้หมดเลย เพราะเวลาที่เรามีความทุกข์เจอเรื่องอะไรต่างๆ เราจะได้ไม่รู้สึกกดดันมาก เรื่องนี้สำคัญนะ ทำให้ทุกวันนี้เราไม่มีหนี้
พ่อแม่สอนว่าการรับผิดชอบหน้าที่สำคัญมาก พอลูกเริ่มโต แม่ให้คนใช้ออกหมด สามคนพี่น้องต้องทำงานเอง ทุกคนต้องทำงานบ้าน กวาดบ้าน ถูบ้าน ดิฉันชำนาญงานขัดกระไดไชรูส้วม (หัวเราะ) ตอนเด็กๆ อาจจะเหนื่อย แต่เชื่อไหมว่าสิ่งเหล่านี้สอนระบบการลำดับความคิดที่ดีให้กับเรา
คำของแม่
สิ่งที่แม่หล่อหลอมอาจไม่ได้เป็นคำสอนโดยตรงแต่เป็น “คำบางคำ” ของแม่ที่ทำให้รู้สึกว่าเออ... มันคือตัวเรา เช่น “ท็อปเป็นคนเอาตัวรอดได้” แม่เชื่ออย่างนี้และพูดกับเราแบบนี้ เพราะตั้งแต่เด็กๆ เราจะขึ้นต้นไม้ทำอะไรคล่องแคล่ว การที่แม่พูดอย่างนั้นบ่อยๆ ก็เหมือนเป็นการสั่งจิตดีๆ ให้กับเรา
แม่เน้นมากๆ เรื่องความซื่อสัตย์และการศึกษา แม่จะไม่มีกินยังไงก็ได้ แต่ลูกต้องได้เรียนหนังสือดีๆ ครอบครัวเราไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ พ่อเป็นศิลปินก็ออกนอกลู่นอกทาง พ่อออกจากบ้านไปแปดปี มีผู้หญิงอื่น แต่มาเยี่ยมทุกอาทิตย์นะ เราไม่โกรธ เรารู้สึกว่าพ่อมีบุญคุณกับเรามากเลย สิ่งที่พ่อทำเนี่ยทำให้เราแข็งแรง
มีคำที่บอกว่า หญ้าแกร่งเพราะแรงลม มันจริงนะ เราแข็งแกร่งจากการได้พบปัญหาต่างๆ แม่เป็นคนที่ไม่ประมาทในการใช้ชีวิต ชีวิตอาจผกผัน ไม่มีความมั่นคง เช่น พ่อเลิกไป รายได้ที่มีลดไป แต่มีทุกข์ยากอะไรก็แชร์ให้ลูกรู้ เราก็อ๋อ...ภาพรวมบ้านเราเป็นแบบนี้นะ ตอนนั้นบอกกับตัวเองว่า ไอ้เรื่องห้ามตัวเองไม่ให้เกเรห้ามไม่ได้ แต่ทำยังไงก็ได้ไม่ให้โดนไล่ออก ต้องเรียนให้จบ เพราะสงสารแม่ ค่าเรียนแพง แค่ระบบคิดง่ายๆ แค่นี้ก็ทำให้เราประคองตัวเองมาได้
วางได้ สุขเป็น
ส่วนพ่อเนี่ย สิ่งที่ทิ้งไว้ให้เราคือพ่อเป็นคนวางอะไรง่าย ด้วยความงดงาม สม่ำเสมอ กระทั่งเราหย่ากับสามี เราเดินไปบอกพ่อ พ่อเป็นคนมีเมตตา พ่อบอกว่าทำอะไรก็ตามอย่าให้กระทบใจใคร ทั้งแฟนเรา แม่สามีหรือใครก็ตาม ใครจะเอาไปพูดถึงเราไม่ดี ไม่เป็นไรอย่าไปสนใจ อย่าไปทำให้มันมีแรงกระเพื่อมเยอะ พ่อจะสอนเราเรื่องอย่างนี้
เรารู้สึกว่า เออ…ดีนะ วันใดที่เราเกิดแตกหักหรือมีความทุกข์จากใครก็ตามที่ทำให้เรารู้สึกเจ็บปวด เราสามารถระงับดูแลจิตใจเราไม่ให้ไปกล่าวร้ายคนอื่นได้เนี่ย ถือว่าเราประสบความสำเร็จในการชนะใจตัวเอง ไม่ต้องมาหาคนฟ้องผิด
ปัญหาของพ่อแม่ส่งผลต่อพฤติกรรมเรา ตอนนั้นกำลังวัยรุ่น เกรดสองกว่าตกเหลือศูนย์ เกเรแบบหน้ามือหลังมือเลยนะ แต่สิ่งหนึ่งที่เรารู้คือต้องยืนด้วยตัวเอง สงสารแม่ อยากช่วยแม่ ตั้งใจว่าต้องเลี้ยงพ่อกับแม่ให้ดี ความกตัญญูเกิดขึ้นในใจเรา ไม่น่าเชื่อว่าพอเราโตขึ้น การคิดแบบนี้มันสะท้อนสิ่งดีๆ กลับมาจนเราตกใจเลยนะ ทำไมเราถึงมีงานมีอะไรมาไม่หยุดไม่หย่อน อาจไม่ได้หรูหราฟู่ฟ่า แต่ชีวิตมีอะไรดีๆ มาเรื่อยๆ ถ้ามีปัญหาก็ไม่นาน เดี๋ยวจะมีความคิด มีทางออกให้เราผ่อนออกไป
เราคิดไว้ว่าจะเลี้ยงดูแม่ให้ดี ทุกวันนี้ยังจำเงินก้อนแรกที่ให้ท่านได้ ตอนอยู่มหาวิทยาลัยเพื่อนชวนไปเล่นเอ็มวีเป็นเอ็กซ์ตราให้กับเพลงพี่หมู พงษ์เทพ กระโดนชำนาญได้เงินมา 500 บาท เอาเงินไปซื้อปทุมเค้กให้แม่ คือสมัยก่อนขึ้นชื่อ...อร่อย
คำครู เปลี่ยนชีวิต
สมัยเรียนมัธยม (เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ) มีลูกสมุนเยอะ เราโดนตีเกือบทุกวัน อาจารย์ฝ่ายปกครอง ใครๆ ก็เห็นเรา Negative หมด มีอาจารย์คนหนึ่งชื่ออาจารย์อัศวิน วรรณวินเวศร์ (พ่อของคุณชมะนันทน์ วรรณวินเวศร์) วันหนึ่งแกพูดกับเราว่า “ดารณีนุช เธอมีความเป็นผู้นำนะ ทำไมไม่ใช้มันไปในทางที่ถูก” (ทำตาโต) ไม่เคยมีใครพูดอย่างนั้นกับเรา เหมือนมีคนเปิดจุกฝา พอเปิดปุ๊บ คำพูดนี้เปลี่ยนชีวิตเราเลย
ทำให้เราเห็นคุณค่าตัวเอง อยากเปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้นคลายพยศลงเรื่อยๆ ก่อนหน้านั้นไปโรงเรียนสาย แต่งตัวผิดระเบียบ พอครูจับตัวแสบดารณีนุชได้ นักเรียนเป็นพันคน ครูเรียกเราไปตีโชว์หน้าเสาธง แล้วอีนี่ก็ไม่หยุดไม่หย่อน ร้ายมาก ไปรังควานครู ไปยืนหน้าห้อง จะเอาเรื่องครู ร้ายไหม...ร้ายเนอะ
...แต่พอมาถึงจุดหนึ่ง เราไม่ใช่คนเดิมแบบสมัยก่อน ครูรับรู้ว่าเราเป็นคนมีน้ำใจ ช่วยเพื่อน แต่ก่อนรักแรงเกลียดแรง แต่พอชีวิตผ่านขั้นตอนต่างๆ มาก็ขัดเกลาเราให้พัฒนา มองดูตัวเองวันนี้กับย้อนมองดูตัวเองในอดีต ไม่เสียดายอะไรเลย ภูมิใจที่เราขัดเกลาเอาเศษโคลนตมที่ร้ายจนวันนี้ดีได้
ความเพียร หลักใจวัยทำงาน
แต่ละช่วงวัยก็มีหลักใจต่างกันไป สมัยทำงานเป็นครีเอทีฟ อยู่บริษัทเจเอสแอล ตอนนั้นมีเหรียญพระมหาชนกออกมาน่าจะเกือบยี่สิบปีแล้ว เงินเดือนเราไม่เยอะ แต่เหรียญเซตใหญ่ห้าหมื่นกว่าบาท ถือว่าราคาสูงสำหรับเรา เราผ่อนเพื่อเก็บไว้ให้ลูก เพราะได้อ่านเรื่องต่างๆ ที่พระองค์ท่านสอน ได้เห็น “ความเพียร” ของพระมหาชนก เราก็เอ๊ะ...มีด้วยเหรอคนที่ว่ายน้ำอยู่เจ็ดวันเจ็ดคืน คือคนเราสามารถทำอะไรที่ beyond จากสิ่งที่เราคิดได้
เราเชื่อว่าศักยภาพเรามีแค่นี้...แต่จริงๆ ทำได้มากกว่านี้ คำสอนนี้เหมือนการพลิกจิตของเราขึ้นมา
ตอนแม่เสีย เราไม่ร้องไห้เลยนะ เพราะแม่ให้เวลาเตรียมตัวก่อนเป็นปีๆ เลย เรามั่นใจว่าดูแลแม่ดีมากๆ ไม่มีอะไรติดค้าง สบายใจ เขาไปไม่ทุกข์ทรมาน เมื่อไรที่คิดถึงแม่กับพ่อก็จะไปทำบุญ เปลี่ยนความคิดถึงแล้วหม่นหมองซึ่งเป็นอกุศลให้เป็นกุศล คือทำใจให้ปีติเบิกบาน คิดถึงคำสอนดีๆ ของเขา
สิ่งที่เราภาคภูมิใจมากไม่ใช่มีพ่อแม่ร่ำรวย แต่ภาคภูมิใจที่เรามาเกิดกับพ่อแม่ที่มีสัมมาทิฐิ คือพ่อแม่ที่ไม่ได้เห็นว่าเรื่องเลวร้ายเป็นเรื่องธรรมดา ทั้งหมดนี้เราเอามาถ่ายทอดเลี้ยงลูกเราได้