คอลัมน์ : หนุนตักฟังเรื่องเล่า
อ่านบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มได้ในนิตยสารโอ-ลั้นลาฉบับเดือนตุลาคม 2558 (ฉบับปฐมฤกษ์)
“ผมเป็นลูกชายคนกลาง มีพี่สาวและน้องชาย ปีหนึ่งได้เจอพ่อแค่สองวัน แม่จึงเปรียบเป็นทั้งชีวิตของพวกเรา แม่ชอบเล่านิทาน แต่ยายชอบเล่าชีวิตจริง เวลานอนหนุนตักแม่ แม่จะลูบผม บางทีก็แคะหู ปั่นหู แล้วเล่านิทานให้ฟังไปด้วย เช่น โคนันทิวิสาล ให้นิทานสอนใจ แล้วสอนว่าโตขึ้นต้องเป็นอย่างนี้นะๆ
“ถ้าวันไหนแม่ทำกับข้าว ผมจะเป็นคนติดเตาให้แม่ สมัยก่อนไม่มีเตาแก๊ส เราใช้ขี้ไต้ ใช้ฟืน ฟืนก็ไปหาจากละแวกบ้านนี่ละ บ้านสมัยก่อนเป็นสวน มีกิ่งมะม่วง ก้านมะพร้าวร่วงหล่น ผมต้องรับหน้าที่ไปเก็บฟืน ไปทั้งๆ ที่กลัวงูเห่า ตอนจุดเตานับเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมาก ได้กลิ่นไม้หอมๆ ดมกลิ่นไฟกลิ่นควัน แล้วตั้งข้าว หุงข้าว ซาวข้าว เช็ดน้ำ มันเป็นวิธีโบราณ เป็นความสุขตรงที่แม่อยู่ด้วย
“บางวันเราก็เล่นหม้อข้าวหม้อแกงกัน เป็นของเล่นสุดคลาสสิกที่แม่ชอบมาก ทำขนมครกง่ายๆ เอาข้าวมาโม่แล้วตักน้ำกะทิใส่น้ำตาล หวานมากบ้างน้อยบ้างอร่อยบ้างไม่อร่อยบ้าง แต่สนุกดี
“แม่สอนให้เราทำอะไรเอง ผมนี่เจียวไข่เองได้ตั้งแต่อายุ 5 ขวบแล้ว ตอนนั้นเพิ่งมีเตาแก๊สใช้แรกๆ จำได้ว่าเตาสูงอยู่แค่ระดับคางเท่านั้น ใช้ไม้ขีดด้วยนะสมัยนั้นเราไม่รอน้ำมันร้อนจัด เอาแค่พอร้อนแล้วตอกไข่ใส่เลยใส่แค่น้ำปลาจบแล้ว ไข่เจียวเราจะทั้งนุ่มและหอม แม่ก็บอกว่าทอดเป็นแล้วนี่ อร่อยด้วย ทำจนชำนาญและคิดว่าไข่เจียวข้าพเจ้าใช้ได้แล้ว แม่ก็ปล่อยให้โชว์ฝีมือ
“ตอนเด็กๆ ความสุขของผมคือทำอะไรก็ได้ขอให้อยู่ใกล้แม่ ใกล้ยาย ติดเตาให้แม่ ใช้กระต่ายขูดมะพร้าวให้ยาย ยายกับป้าผมทำขนมเก่ง ทำขนมขาย หรือแม้แต่ซักผ้า สมัยก่อนไม่มีเครื่องซักผ้า มีแต่หมอนซักผ้าแปรง เราก็ไปนั่งเล่นกวนน้ำ ทำอะไรก็ได้ นั่งคุย อาบน้ำกับยาย ยายชอบให้ผมขัดตัวให้แล้วยายก็ขัดตัวให้ผม ยายขัดตัวเจ็บมาก ใช้ผ้าขนหนูขัดจนเลือดซิบ บอกว่าเดี๋ยวขี้ไคลไม่ออก
“ยายเป็นคนธรรมะธัมโมมาก ชอบเล่าชีวิตจริงสมัยเด็กๆ มีทั้งเรื่องภูตผี ปีศาจ ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่ยายเล่านั้นจริงหรือไม่จริง แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ผมจำได้จนถึงวันนี้…ปู่ของยาย (ตาทวด) เป็นนายพรานอยู่ชลบุรี ตอนเด็กๆ ยายเคยเข้าป่ากับปู่ เป็นป่าดงดิบ รก เดินเท้าไม่ได้ ยายต้องขี่คอปู่ ปู่สอนว่าเวลาเข้าป่าต้องอยู่กับปู่ อย่าคลาดสายตา อย่าวิ่งหนี ถ้าปู่บอกให้รอก็ต้องรอ ถ้าไม่เห็นปู่ก็ห้ามตะโกนเรียก เพราะเสียงในป่าจะก้องและจะกลายเป็นการเรียกสิ่งเร้นลับจากป่า
“ครั้งหนึ่งระหว่างเดินในป่า ปู่เงียบและหยุด สิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือดวงตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมา ตอนแรกไม่มั่นใจว่าคืออะไร แต่พอตาคู่นั้นค่อยๆ ขยับ ยายก็แน่ใจว่าต้องเป็นเสือ มันจ้องและค่อยๆ เคลื่อนออกมาช้าๆ วันนั้นปู่ถือหอกด้ามยาวกับมีดพร้าติดตัวไปด้วย
“ปู่หยุดและค่อยๆ ย่อตัวลง วางหอกลงกับพื้น… ตาคู่นั้นสบตากับปู่นิ่งมาก ปู่บอกให้ยายเกาะปู่ไว้แน่นๆ ช้าๆ เบาๆ ตาก็ยังคงจ้อง เพราะเสือกลัวตาคนมันจ้องตาปู่ไม่ขยับ ปู่เองก็จ้องตาเสือนิ่งและนานมาก ยายเล่าว่าตัวเองขยิบตาหลายที แต่ปู่ก็ยังนิ่งอยู่
สุดท้ายเสือตัวนั้นก็หันหลังให้แล้วเอาเท้าตะกุยทรายใส่ตาปู่ มันตัวใหญ่และน่ากลัวมาก แต่ปู่เตรียมรออยู่แล้ว ยกมือขึ้นป้องตา จังหวะที่มันพุ่งเข้าหา ปู่ก็คว้าหอกข้างตัวที่อยู่กับพื้นเอียงตั้งรับ หอกทิ่มคอเสือจนมันเซไป เสือเปลี่ยนทิศและกระชากหอกหลุดหายไปในป่า ปู่สั่งยายว่า รออยู่ตรงนี้อย่าไปไหน ถ้าเย็นแล้วปู่ยังไม่กลับมาให้ทำตามที่ปู่สอน คือขึ้นไปบนต้นไม้แล้วเอาเถาวัลย์ขัดตัวไว้ เดี๋ยวปู่จะกลับมารับ แล้วปู่ก็เข้าป่าไปโดยทิ้งมีดเล่มเล็กๆ ไว้ให้เล่มหนึ่ง
“ระหว่างที่นั่งรอบนต้นไม้ มีผู้หญิงนั่งร้องไห้ บอกว่าหลงป่า ให้ลงมาอยู่เป็นเพื่อนน้าหน่อย แต่ยายไม่ลง เพราะปู่สั่งไว้ว่าห้ามลง ยายสงสัยว่าทำไมผู้หญิงคนนี้มีเคราสีเขียว เธอนั่งร้องไห้สักพักก็หายไป แล้วจู่ๆ ก็มีงูตัวหนึ่งเลื้อยขึ้นมาบนต้นไม้มาแทนที่ ยายค่อยๆ เอามีดเขี่ยจนมันหล่นไปข้างล่าง งูหายไปกลายเป็นเสือตัวเดิมมานั่งอยู่แทน สิ่งที่ยายเห็นมันแปลกมาก ที่ใครเขาเรียกกันว่า ‘เสือสมิง’ คงเป็นอย่างนี้นี่เอง
สักพักเริ่มมีใครต่อใครมาแย่งกันขี่จนมันหายเข้าป่าไป ไม่นานปู่ก็มาพายายกลับบ้าน…เรื่องเสือสมิงผมได้ฟังอีกครั้งหนึ่งจากครูวิทยาศาสตร์ที่ศรีวิกรม์ ผมไม่รู้หรอกว่าจริงไหมแต่ผมเชื่อที่ยายเล่า
“ผมเชื่อว่าเรื่องบางเรื่องก็เหมือนคลื่นวิทยุ ถ้าจิตเราว่างก็รับคลื่นได้ จูนกันได้
“ยายบอกเสมอว่า เวลาเข้าป่าต้องรู้จักระวังตัว ฝึกสังเกต นกกินอะไรเรากินด้วย สังเกตธรรมชาติ ยายเป็นคนที่สนใจเรื่องจิตวิญญาณและศาสนา เข้าป่าหรือไปที่ไหนก็ตามเราต้องรู้จักเคารพสถานที่ เราต้องรู้จักกาลเทศะว่าเป็นอย่างไร สิ่งที่ยายสอน แม้จะเป็นเรื่องราวจากความทรงจำ ความเชื่อของยาย แต่ผมรู้สึกว่าสามารถนำมาใช้ในปัจจุบัน ไปที่ไหนเราต้องสังเกตธรรมชาติ เพราะทุกวันนี้เรากำลังอยู่ห่างจากธรรมชาติที่เราเคยเป็น ยายพูดอยู่เสมอว่า ‘จิตวิญญาณ มันอยู่ในคน’
“แม่มักพูดถึงความตาย แม่และพวกเราพี่น้องทุกคนนั่งสวดมนต์ทุกวัน เวลากอดแม่ เวลานอนกับแม่ เวลาหนุนตักแม่ แม่จะพูดเรื่องนี้ตลอด เป็นเด็กดีนะลูก วันหนึ่งถ้าแม่ตาย ลูกๆ ต้องเป็นคนดี ฝึกทำสมาธิ ทำสติให้มั่นคง จะได้รู้จักจิตวิญญาณ
“ผมเคยถามแม่ว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร แม่ตอบว่าคนทุกคนเกิดมามีหน้าที่ของตัวเองสักอย่าง คำว่าจิตวิญญาณหมายถึงตัวเราเอง เราต้องรู้จักตัวเองก่อน เราถึงจะรู้จักสิ่งต่างๆ การหวนย้อนกลับมารู้จักธรรมชาติก็คือจิตวิญญาณในตัวเรานั่นเอง”
ลมหายใจจากอดีตปลุกความทรงจำ เสียงหัวเราะและรอยยิ้มให้มีชีวิตชีวา สิ่งของต่างๆ ในห้อง ระนาดหัวโขน เปียโน ของเล่น กล้องฟิล์ม ถูกวางสงบนิ่งภายใต้แสงยามเย็นโลมไล้ แต่ในความนิ่งนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างดูมีชีวิต มีจิตวิญญาณ มีเรื่องเล่าในตัวมันเอง